ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ กับการบริหารการเปลี่ยนแปลง
ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี
ท่านรัฐมนตรี ท่านปลัดกระทรวง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และเพื่อนข้าราชการทุกท่านวันนี้ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า ประเทศไทยเราก้าวพ้นช่วงแห่งวิกฤตไปแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้พวกเราลืมบทเรียนอันเจ็บปวดที่ผ่านมาในช่วง 6 ปี เพราะบทเรียนนี้มีต้นทุนที่แพงมหาศาลทีเดียวคนไทยเราลืมง่ายกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาครั้งนั้น แม้แต่ฝรั่งเองยังจำคำพูดของ Dr. Paul Krugman ที่ได้พูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจว่า ความเสียหายของวิกฤตเศรษฐกิจนั้นมันหนักหนาสาหัสเสียจนคนที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่สามารถจินตนาการภาพออกมาได้ พอผ่านมา 6 ปี ถามว่า วันนี้เรายังจำได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าหลายท่านเริ่มที่จะลืมไปแล้ว ฉะนั้นผมอยากจะกล่าวว่า 6 ปีที่ผ่านมานั้นเป็น 6 ปีที่จะต้องจดจำ
เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คำโบราณกล่าวว่า ภายใต้วิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ แม้เราประสบภาวะวิกฤตหนักหนาสาหัสเพียงใด อย่างน้อยให้โอกาสได้เรียนรู้ว่า “จุดอ่อนของประเทศอยู่ที่ไหน” ได้มีโอกาสเรียนรู้ว่า “ถ้าไม่ระมัดระวัง ถ้าพลาดพลั้ง มัวแต่หลงระเริงอยู่กับฟองสบู่ อะไรจะเกิดขึ้น” ได้เรียนรู้ว่า “วิกฤตนั้นใครเป็นมิตรแท้ ใครเป็นมิตรเทียม” และ “เปิดโอกาสให้มีการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง” ถ้าไม่มีวิกฤตเกิดขึ้น ผมไม่เชื่อว่าวันนี้ เราจะมีโอกาสปฏิรูประบบราชการขนานใหญ่ “ผู้ว่าราชการแบบบูรณาการ (CEO) ” จะเป็นคำที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย เพราะเวลาที่เราสบายนั้น เราไม่คิดที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ฉะนั้น 6 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเกิดวิกฤตแต่ก็ให้บทเรียนที่ดี และเปิดโอกาสให้เรามีโอกาสเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศชาติได้อีกครั้ง
การปฏิรูประบบราชการได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และมีการปรับปรุงโครงสร้างของระบบราชการเท่านั้นยังไม่พอ เมื่อวานนี้ท่านนายกรัฐมนตรีได้มากล่าวเปิดและให้คำปาฐกถาพิเศษ เพื่อที่ต้องการตอกย้ำให้เห็นว่า โลกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เปลี่ยนแปลงไปชนิดที่ว่าถ้าเราตั้งรับไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้นดังนั้น ถ้าโลกเปลี่ยนเราก็ต้องเปลี่ยนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหอกที่สำคัญ จึงต้องการให้พวกเรารู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและเข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่และตั้งใจจะทำต่อไปในอนาคต โดยหวังที่จะหวังพึ่งท่านทั้งหลาย ใครจะมาเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีและผู้ช่วยของคณะรัฐมนตรีในการผลักดันสิ่งที่เราตั้งใจทำนั้น ให้บังเกิดผลให้จงได้
ขับเคลื่อนอย่างมียุทธศาสตร์
ฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจไม่พร้อมกัน ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างเดิน พลังของการขับเคลื่อนก็จะไม่บังเกิดการเปลี่ยนแปลงให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้น ขณะเดียวกันท่านนายกรัฐมนตรีก็เป็นห่วงว่า ถ้าไม่ให้ท่านได้มีการอบรมเพิ่มเติม ท่านก็อาจไม่เข้าใจถึงบทบาทที่จะมารองรับในวันข้างหน้า นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้ผมร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และ สำนักงานก.พ. ช่วยกันสร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยกันเสริมสมรรถนะแก่ท่านทั้งหลาย ให้พร้อมที่จะรับบทบาทที่ท่านนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ ซึ่งถือเป็นความยินดีอย่างสูง
• ความยินดีประการแรก ก็คือ ในอดีตผมเคยเป็นอาจารย์มาก่อน เมื่อท่านนายก ฯชักชวนให้มาตั้งพรรคการเมือง ขอให้มาทำหน้าที่ให้บ้านเมืองบ้าง ก็ตั้งใจว่าเมื่อเสร็จภารกิจแล้ว หรือว่ามีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่า ผมก็จะกลับไปสอนหนังสืออย่างเดิม เพราะว่าการสร้างบุคลากรนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะได้กลับมาเป็นวิทยากรพิเศษ และมีกลุ่มผู้ฟังที่ทรงกิตติมศักดิ์ ที่น้อยครั้งจะมีโอกาสได้พบกัน
• ความดีใจประการที่สอง คือ เนื้อหาของหลักสูตรที่เป็นสิ่งสำคัญ วิชาการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่ผมเคยสอน เป็นวิชาที่ว่าด้วยกระบวนการของการวิเคราะห์ปัญหา วิสัยทัศน์ กำหนดกลยุทธ์ เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ ในภาคเอกชนนั้นเป็นวิชาที่สำคัญอย่างยิ่ง สามารถนำมาใช้ในภาครัฐได้ในเชิงของมหภาคในระดับประเทศ ก็จะทำให้ประเทศสามารถมองไปข้างหน้าได้ว่าจะก้าวไปสู่ทางไหน
75 จังหวัด 75 เครื่องยนต์ พลังการขับเคลื่อน
ยุทธศาสตร์คืออะไร จะระดมพลังมาได้อย่างไรให้งานบรรลุผล ประเทศชาติน่าจะได้ทิศทางรับประโยชน์อย่างสูง ผมเคยมีโอกาสได้เขียนงานร่วมกับอาจารย์และลูกศิษย์ของผม ท่านนายกรัฐมนตรีได้บอกให้ผมทำหลักสูตรนี้ ก็เท่ากับว่าเอาสิ่งที่ผมตั้งใจไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วมาใช้กับการอบรมผู้ว่า ฯ CEO พอดี จึงดีใจมาก บทเรียนสั้นๆ ของหลักสูตรเหล่านี้ ผมเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยมหาศาลประเทศไทยนั้นไม่ใช่ขับเคลื่อนจากส่วนกลาง
ตลอดเวลาที่คลุกคลีกับวงการเอกชน วงการราชการ ทั้ง 75 จังหวัด คือเครื่องยนต์ 75 เครื่องถ้าหากเครื่องยนต์ทั้ง 75 เครื่องนี้ มีทิศทางในการขับเคลื่อน บางจังหวัดอาจจับกลุ่มเข้าด้วยกันขับเคลื่อนด้วยกันอย่างมียุทธศาสตร์ อย่างมีพลัง และถ้าหากทั้ง 75 จังหวัด ขับเคลื่อนโดยผู้ว่าฯ CEO ที่มีจิตสำนึกว่า ที่เป็นผู้ว่าฯ นั้นไม่ใช่เพราะหน้าที่แต่เพราะอุทิศตนเป็นผู้บริหาร เพื่อรับใช้บ้านเมืองสนองคุณ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทำให้พลังแห่งการขับเคลื่อนทั้ง 75 เครื่องนี้รุนแรง และมีพลังอย่างแท้จริงมีทั้งทิศทาง มีทั้งพลังในการขับเคลื่อน และมีทั้งความสามัคคี
ดังนั้น ถ้าเครื่องยนต์ทั้งหมดเกิดเต็มกำลังเมื่อไหร่ เมื่อนั้นประเทศไทยจะสามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้กว่านี้อีกมาก เพราะอะไร ขนาดเราเติบโตมา 30 – 40 ปี เผชิญวิกฤตการณ์เรายังอยู่รอดมาได้อย่างนี้ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารวมพลังกันได้ โดยที่ไม่มองว่าใครเป็นศัตรู ใครเป็นผู้แพ้ ใครเป็นคู่แข่ง จังหวะนี้เป็นจังหวะที่สำคัญอย่างยิ่ง ฉะนั้นด้วยก้าวเล็ก ๆ ก้าวนี้ ผมเชื่อว่า ท่านผู้ว่าฯ CEOทั้งหลายจะสามารถ transform ประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่มีพลังที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ มีจุดประสงค์ที่จะชี้ให้เห็น และให้เข้าใจว่ารัฐบาลทำอะไรบ้าง ให้ตั้งว่าจะทำอะไรในอนาคต และเราหวังอะไรจากท่าน ศาสตราจารย์ฝรั่ง ที่จะมาสอนผู้ว่า ฯ CEO ในสองวันนี้เขาจะสะท้อนภาพโลกภายนอกให้ท่านเห็น สะท้อนภาพของเทคโนโลยี สะท้อนภาพของภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ที่จะมีนัยสำคัญต่อประเทศไทย อย่างไรก็ตามผมไม่เชื่อว่า ท่านจะเข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่หรือไม่ และบางท่านอาจไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราจะทำในอนาคตนั้นเพื่ออะไร
Download : ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ กับการบริหารการเปลี่ยนแปลงภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ