นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทำ MOU ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรรม์ประกันภัยในฐานะผู้บริโภค ตลอดจนตระหนักถึงคุณค่าและคุณประโยชน์ของการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัว โดยใช้ระบบการประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง ที่ผ่านมารัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนมากในการชดเชยความเสียหายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะความเสียหายจากภัยธรรมชาติ การประกันภัยธรรมชาติทางการเกษตรจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่จะแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาล และสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพของเกษตรกร ดังนั้นเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรจึงต้องมีความรู้และทราบถึงสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยเพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพเกษตรกร
ด้านวิธีการถ่ายทอดให้ความรู้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนั้นจะใช้ระบบที่มีอยู่ คือกรมส่งเสริมการเกษตรมีหน้าที่ในการจัดฝึกอบรมเกษตรกรทั่วประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะมีการฝึกอบรมตามปกติแล้ว จะนำเรื่องการประกันภัยเข้ามาเสริมด้วย ส่วนวิทยากรจะเป็นหน้าที่ของทาง คปภ.เข้ามาให้ความรู้กับเกษตรกร
นายอรรถ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเมื่อปี 2552-53 กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำโครงการนำร่องการประกันภัยธรรมชาติสำหรับพืชผลทางการเกษตร เพื่อศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการประกันภัยในเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผลจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าเบี้ยประกันภัยเกษตรกรพอใจอยู่ที่ 139-147 บาท/ไร่ วิธีการประเมินความเสียหาย เกษตรกรพอใจที่จะประเมินเป็นรายแปลงมากกว่าที่จะใช้ดัชนีภูมิอากาศ วงเงินชดเชยเท่ากับเงินที่ลงทุนในการผลิตตามอายุการเจริญเติบโตของข้าว ความพึงพอใจเกษตรกรมีความพึงพอใจอยากจะทำประกัน ถือเป็นการศึกษาเพื่อหาข้อมูลเบื้องต้นเพื่อรายงานต่อรองนายกรัฐมนตรี และนำไปสู่กระบวนการโครงการประกันภัย ส่วนจะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดกรอบการประกันภัยธรรมชาติของรัฐบาล
ที่มา : http://www.ryt9.com/s/bmnd/1138091